ปราชญ์ชาวบ้าน
พ่อหนูพรหม
บริบาล หมอยาสมุนไพรประจำชุมชน วัย 70
ปีถิได้ว่าเป็นบุคคลที่ชุมชนได้ให้ความเคารพอีกท่านหนึ่งเป็นที่รู้จักในอีกนามหนึ่งคือ
คุณพ่อจาร เนื่องจากบวชเรียนตั้งแต่วัยเด็ก
จนได้บวชเป็นพระ
อยู่ในสมานเพช ตลอดมาและมีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพร การเป่า การต่อกระดูก กล้ามเนื้อฟกช้ำ
รวมถึงเส้นเอ็นต่างๆด้วยการรักษาด้วยน้ำมัน
พ่อจารหนูพรหม ได้เล่าให้ฟังว่า
เรื่องการรักษานั้นกระทำด้วยใจ และอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรื่ององค่ารักษาก็ไม่เคยตั้งค่ารักษาไว้
ความภูมิใจอยู่ที่ผู้มาให้รักษาอาการป่วยแล้วหายและไม่ทุกข์ทรมานก็ถือว่าภูมิใจแล้ว
ส่วนวิชาที่ได้มาก็ได้จากการเรียนรู้ตอนที่บวชเรียนเป็นพระและได้รับการถ่ายทอดมาจากบ้านกาเจาะ
จ. สุรินทร์ ตามที่เคยรักษาคนที่ป่วยมานั้นอาการที่เป็นคือดีขึ้นเกือบทุกรายและจะอยู่ที่ข้อปฏิบัติที่ต้องปฏิบัติตนของผู้ป่วยเองด้วย เช่นต้องไม่ดื่มเหล้า ไม่ขยับกาย
เกินความจำเป็นหรือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ
ในฐานะที่เคยบวชเรียนเลยได้ขอถือโอกาสให้ช่วยบอกเล่าถึงฮีต 12 ครอง 14
ที่ชุมชนส้มป่อยได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา
เดือนอ้าย คือ
การเข้ากรรมหมายถึงพระเข้ากรรม
เดือนยี่ คือ
ข้าวเข้าลานหมายถึงการเตรียมลานข้าวขนข้าวเขข้าลาน
เดือน 3
คือ
บุญข้าวจี่และมีการสู่ขวัญข้าว
เดือน 4
คือ บุญพระเวช
เดือน 5
คือ บุญสงกรานต์
เดือน 6
คือ บุญบั้งไฟ
เดือน 7
คือ การตักบาตรบ้าน
เดือน 8
คือ บุญเข้าพรรษา
เดือน 9
คือ ข้าวประดับดิน
เดือน 10
คือ บุญข้าวสาก
เดือน
11 คือ ออกพรรษา
เดือน 12
คือ บุญกฐิน
ซึ่งทุกเดือนก็จะมีการปฏิบัติตามฮีต 12
ครอง 14 คนในชุมชนจะถือปฏิบัติตนเสมอมาโดยไม่ต้องมีการนัดหมายและความสำคัญของการทำบุญแต่ละเดือนทำให้คนในชุมชนได้มีโอกาสพบปะกันพูดคุยกัน
นายคาน สุตะพันธ์
นายคาน สุตะพันธ์ วัยย่างเข้า 67 ปี
เป็นคนในชุมชนส้มป่อยโดยกำเนิดมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 16 ชีวิต
นายคาน สุตะพันธ์ เป็นลูกคนที่ 8
ถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่ แต่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร อาชีพส่วนตนในปัจจุบันทำนาเป็นอาชีพหลัก
อาชีพรองคือการปลูกหอมแดง อาชีพเสริมคือ การจักรสาน
เราลองหันกลับมาดูในอีกมุมหนึ่งของบุคคลในชุมชนที่ถ่ายทอดถึงวิถีการดำรงชีวิตอยู่ในครอบครัวที่ถือว่ามีขนาดใหญ่และอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร
พ่อคาน สุตะพันธ์
เล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งยังเยาว์วัยมีพี่น้อง พ่อแม่
อยู่รวมกันเยอะมีความอบอุ่น มีข้าวกิน อาหารก็อุดมสมบูรณ์
ภูมิประเทศของส้มป่อยเป็นท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์มาก ในป่ามีเห็ดมีหน่อไม้ มีพืชผัก
ในน้ำมูลก็มีปลา ในนาข้าวก็มีปลารวมถึงปลาในสระน้ำ ( บ่อล่อปลา ) มีเป็ด ไก่
เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารและยังมีผลไม้ตามฤดูกาลให้ได้กินตลอดทั้งปี
พื้นที่ลุ่มก็ทำนา พื้นที่ดอนก็ปลูกหอมกระเทียม ปลูกปอ
การดำรงชีวิตของแต่ละคนในครอบครัว
คุณพ่อจะถนัดทางด้านเย็บเสื้อผ้าถือเป็นอาชีพรองหลังจากการทำนา
แม่ก็มีความสามารถทางด้านเลี้ยงไหม การทอผ้า ที่สวมใส่ของคนในครอบครัว
รวมถึงเสื้อผ้านักเรียนจะมีการตัดการเย็บเองด้วยมือเป็นส่วนใหญ่
ลูกทุกคนยังอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ พี่คนโตก็จะช่วยเลี้ยงน้องดูแลน้อง
พี่บางคนก็จะช่วยพ่อตัดเย็บ
ส่วนผู้หญิงก็จะช่วยแม่เลี้ยงไหมและทอผ้าและพี่บางคนก็จะออกไปรับจ้างหาเงินมาใช้ในครอบครัว
เวลากินข้าวส่วนมากตอนเช้าและตอนเย็นก็จะรับประทานอาหารพร้อมหน้ากัน
ในตอนเช้าจะเป็นข้าวเหนียวนึ่ง ประมาณ 6-8 กิโลกรัม ต่อวัน ( ข้าวสาร
)ส่วนลูกที่อยู่ในวัยเรียนตอนเที่ยงก็จะกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านเนื่องจากบ้านไม่ไกลจากโรงเรียน
เรื่องเงินซื้อขนมก็ไม่ต้องใช้เพราะมีผลไม้ข้างทางก็เป็นอาหารว่างได้
ส่วนอุปกรณ์การเรียนจะมีกระดานดำ ดินสอดำ ก็ไปโรงเรียนได้ อุปกรณ์การเรียน
ชุดเสื้อผ้าที่ยังใช้ได้ก็เอาให้น้องใช้ต่อไปได้
ความผูกพันอย่างหนึ่งระหว่างพี่น้องที่พอจะเห็นได้คือ พ่อแม่มีลูกหลายคน
พี่จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูน้อง ไม่ให้น้องร้องไห้
ความผูกพันเหล่านี้จึงทำให้เกิดความรักซึ่งกันและกัน
ด้านอาชีพของพ่อคาน สุตะพันธ์ เป็นคนที่ชอบทำอาหาร ชอบจักรสาน
โดยได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการจักรสานจากหลวงปู่ที่วัดสมัยที่บวชเรียน ด้วยมีความชอบเป็นทุนเดิมจึงทำให้ชิ้นงานออกมาด้วยความประณีต
จึงได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น และยังมีกลุ่มที่ยึดอาชีพจักรสานอยู่หลายคน
แต่ด้วยวัยที่สูงขึ้น จึงยังคงเหลือพ่อคาน
สุตะพันธ์
ที่ยังคงยึดอาชีพนี้อยู่พ่อคานเล่าถึงความรู้ที่ไดรับจากหลวงปู่คือการเรียนรู้ลายจักสานต่างๆ
เช่น สายสาม จะใช้กับพวก กะเบียน
กระด้งสายสองจะใช้ในพวกสานฝาผนังบ้าน และลายขัดจะใช้ในพวกสานตะกร้า
ขาบข้าว กระบุงเป็นต้น ผลผลิตที่ได้นั้นจะนำไปขายในชุมชน ส่วนมากจะมีการสั่งจอง
และทำสั่งตามความต้องการ
ความกังวลตอนนี้คือความรู้ในเรื่องการจักสานจะสูญหายต้องการถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นหลัง
สรุปการบอกเล่าของพ่อคาน สุตะพันธ์
จะทำให้มองเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของชุมชนส้มป่อยทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ทั้งดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามส่งผลถึงเป็นสังคมของชุมชนที่มีความเอื้ออาทรต่อกันมีความรักสามัคคีที่ดีต่อกันมองได้จากความเป็นอยู่อย่างมีระบบและมีความสุขได้จะต้องมีปัจจัยและสิ่งแวดล้อมภายนอกคือความสมบูรณ์ทางธรรมชาติภายในท้องถิ่นนั้นๆ
บุคคลสำคัญของหมู่บ้าน
นายคมศักดิ์ โพธิ์งาม
บุคคลสำคัญของบ้านส้มป่อย หมุ่ 2
นายคมศักดิ์ โพธิ์งาม
ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีใจรักทางด้านการเมืองที่อยู่ในชุมชนส้มป่อยหมู่ที่ 2
มีประวัติเกี่ยวกับชีวิต การเมืองและชอบการเป็นผู้นำมาตั้งแต่เยาว์วัย
มีความคิดที่คิดและทำควบคู่กันไปโยไม่ต้องรอวันและเวลา มีความเสียสละทำเพื่อส่วนรวมด้วยใจรักจนเป็นที่
ยอมรับของคนในชุมชน สนับสนุนให้เป็นสารวัตรกำนันและได้รับการเลือกตั้งให้เป็น อบต.
สมัยแรก ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกสภา อบต.
เลือกแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการสภา อบต.
จนได้รับเลือกเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลส้มป่อย
ถือได้ว่าเป็นผู้นำที่เกิดจากแรงศรัทธาของคนในชุมชน
ผลงานด้านการพัฒนาได้จัดให้มีการพัฒนาทางด้านสังคม การเมืองการปกครอง
จัดให้องค์กรทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วม
ร่วมคิดร่วมทำ โดยจัดให้มีการประชุมเชิงบูรณาการ ( CEO)เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วนได้แสดงความคิดเห็นนำเสนอผลงาน
เสนอปัญหาและร่วมเสนอแนวทางการพัฒนาร่วมกันจนทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายในชุมชนหลายอย่าง
รวมถึงแนวทางการสร้าการมีส่วนร่วมเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งโดยใช้ประเพณีวัฒนธรรมเช่นการร่วมทำบุญประเพณีสงกรานต์
การทำบุญวันขึ้นปีใหม่ ลอยกระทง
โดยการทำบุญพร้อมกันของคนในชุมชนที่โรงเรียนบ้านส้มป่อย ( ส้มป่อยวิทยาเสริม)
การสนับสนุนด้านการศึกษา จนพัฒนาคุณภาพของเยาวชนสู่สถาบันการศึกษาที่ดีมากมาย
จึงขอโอกาส นี้ขอให้ท่านได้ถ่ายทอด
องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับชุมชนส้มป่อยหมู่ที่ 2
ดังนี้
ชุมชนส้มป่อยในอดีตเคยเป็นค่ายทหารเรียกว่าค่ายส้มป่อย จะพบร่องรอยพอให้เห็นรวมถึงการสืบทอดทางการบอกเล่าต่อกันมาคือเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทร์
ประเทศลาว ยกทับเพื่อตีเมืองโคราชโดยตั้งค่ายที่ส้มป่อย
จากคำบอกเล่ายังยังพอมีร่องรอยทางด้านชุมชนคือชุมชนบ้านโกซึ่งเป็นชาวโคราชที่ตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลส้มป่อยจนถึงทุกวันนี้ซึ่งปรากฏรายละเอียดชุดองค์ความรู้แผนที่ตั้งชุมชนดั้งเดิมพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ
ชุมชนส้มป่อย ได้ก่อตั้งเป็นคุ้มใหญ่เรียกว่าบ้านส้มป่อยใหญ่ คุ้มน้อยเรียกว่าบ้านส้มป่อยน้อย
มีวัดส้มป่อยใหญ่ วัดส้มป่อยน้อย และมีโรงเรียนส้มป่อย (ประถม , มัธยม) สถานีอนามัยอยู่กึ่งกลาง
ปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น 5 หมู่บ้าน
จำนวน 500 หลังคาเรือน
สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาวชุมชนส้มป่อยที่เด่นชัดคือความเป็นอยู่
ที่อุดมสมบูรณ์เพราะตั้งอยู่ริมแม่น้ำมูล ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ปีใหนฝนตกดีก็ได้ข้าวมาก ปีใหนฝนตกน้อยก็ยังมีข้าวกิน เพราะดินดี น้ำดี ระดับน้ำใต้ดินมีมาก
อาชีพเสริมคือการปลูกหอมแดง ประชาชน 92 % มีอาชีพปลูกหอมแดง
สร้างรายได้ให้ชุมชนกว่าปีละ 90 ล้านบาท เมื่อความเป็นอยู่ค่อนข้างดีจึงทำให้
พ่อ แม่ผู้ปกครองมีกำลังส่งลูกหลานให้ได้เรียนหนังสือ ตำบลส้มป่อยถือเป็นตำบลที่ได้รับการขยายโรงเรียนจากชั้น
ป. 4 ถึงชั้น ป. 7 เป็นแห่งที่ 2 ของอำเภอราศีไศลคือโรงเรียนส้มป่อยพิทยาคม
ก่อตั้งเมือ 19 ก.ค. 2519
ชุมชนส้มป่อยก็ค่อยๆเจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับเพราะเศรษฐกิจดี มีการศึกษา
ตำบลส้มป่อยมีผู้สำเร็จการศึกษาและรับราชการเป็นจำนวนมาก
ถ้าเทียบในระดับตำบลต่างๆแล้วในจังหวัดศรีสะเกษถือว่า ตำบลส้มป่อยคือ” กตะศิลาทางการศึกษา”
บ้านเมืองรักสงบมีความสามัคคีผู้นำเข้มแข็งทำงานอย่างต่อเนื่องนำสิ่งดีๆมาสู่ชุมชน
เช่นกองทุนร้านค้าประจำหมู่บ้าน ทุกกองทุนก่อตั้งมานานตั้งแต่ปี 2520
ก็ค่อยพัฒนาเจริญขึ้นมาจนทุกวันนี้ ไม่เคยล้มลุกคลุกคลานเพราะคณะกรรมการเข้มแข็ง
สมาชิกรู้จักรักษาผลประโยชน์ร้านค้าของตนเอง
ในชุมชนส้มป่อย
ที่เป็นจุดแข็งอีกอย่างก็เพราะแต่ละส่วนงานหรือองค์กรได้พัฒนามาเป็นลำดับ
จาการพูดคุยประชุมและร่วมงานกันมาตลอดตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา
มีการประชุมในรูปบูรณาการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน บ้านใด
หน่วยงานใด องค์กรใดมีงานก็ช่วยกันทำ ในภาพรวมของตำบลส้มป่อย
โรงเรียนแต่ละแห่งพัฒนา วัดทุกวัดเจริญ สถานีอนามัยพัฒนา
องค์การบริหารส่วนตำบลก้าวหน้าเพราะเป็นองค์กรประสานงานส่วนต่างๆให้พัฒนาควบคู่กันไปในทุกๆด้านโดยเฉพาะในช่วงจากปี
2530 - 2552
ที่ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมกับทุกๆส่วนงาน
เพื่อพัฒนาชุมชนส้มป่อยให้มั่นคงและยั่งยืน